ข้อดี ข้อเสียของ home school

กุมภาพันธ์ 08, 2562





การทำโฮมสคูลนั้น เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของระบบการศึกษาค่ะ เหมือนกับการไปโรงเรียนซึ่งที่จริงแล้วก็เป็นแค่ทางเลือกหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่ว่าการไปโรงเรียนเป็นทางเลือกที่เราคุ้นชินกันมานานจนกลายเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติต่อๆกันมาอย่างไม่มีเงื่อนไข

ครอบครัวที่เลือกทำโฮมสคูลในการจัดการศึกษาก็จะมีเหตุผลต่างกันไป ซึ่งแต่ละครอบครัวโฮมสคูลนั้นจะผ่านการศึกษาหาข้อมูลมาแล้วว่าการทำโฮมสคูลมีข้อดีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น

1.เป็นทางออกสำหรับครอบครัวที่ลูกมีปัญหาทางสุขภาพ ไม่สามารถไปโรงเรียนได้เหมือนเด็กปกติ

2.เป็นทางออกให้กับครอบครัวที่ต้องการเลือกหลักสูตรการศึกษาด้วยตัวเอง ไม่ต้องใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเรียนหลักสูตรกลาง สามารถเลือกเรียนตามความต้องการ ตามความถนัดของผู้เรียนได้อย่างอิสระ

3.เป็นทางออกสำหรับความไม่สะดวกในการเดินทางมาโรงเรียนทุกวัน และใช้เวลาเดินทางวันละหลายชั่วโมง

4.เป็นทางออกสำหรับเด็กที่ได้รับความกดดันจากโรงเรียน การถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน ไม่ได้รับความเป็นธรรม ดังที่เป็นข่าวมากมายในสังคม

5.เป็นทางออกให้พ่อแม่มีโอกาสได้ใช้เวลาคุณภาพอยู่กับลูกให้มากที่สุด และได้มีโอกาสเลือกสังคมเพื่อนเรียนที่เหมาะสมกับครอบครัวเรา

6.เป็นทางลัดสำหรับเด็กที่รู้ความต้องการของตัวเอง ทำให้สามารถเลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยไม่ต้องเสียเวลาเรียนในวิชาที่ไม่จำเป็น

7.เป็นทางออกให้เราได้จัดสรรงบการศึกษาได้ตามโครงสร้างของครอบครัว 

8.ลดโอกาสลูกติดโรคระบาดซึ่งทำให้ต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ 

และยังมีข้อดีอีกมากมายค่ะ อธิบายได้ไม่รู้จบค่ะ



แล้ว ข้อเสียของ home school ละมีบ้างมั้ย?

ส่วนตัวเรามองว่า การทำโฮมสคูลจะดีหรือไม่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับกำลังภายในของครอบครัวล้วนๆเลยค่ะ
ข้อเสียของ home school ที่เคยได้ยินมา เช่นไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม หรือเด็กปรับตัวไม่ได้ มักเป็นความคิดของคนรอบข้างที่ไม่ได้ทำโฮมสคูลด้วยตัวเองมากกว่า

แต่ความจริงก็คือ การทำโฮมสคูลอาจจะไม่เหมาะกับทุกครอบครัว ซึ่งมีหลายครอบครัวที่ทำโฮมสคูลไปแล้วเกิดปัญหา เพราะผลลัพท์ไม่เป็นดังที่คาดหวังไว้ เลยมองว่าเป็นข้อเสียของ home schoolไป แต่ถ้ามองกันจริงๆแล้ว สาเหตุทุกอย่างมาจากภายในครอบครัวนั่นแหละค่ะ ถ้าลองไม่มองว่าเป็นข้อเสีย อาจจะเรียกว่า ข้อควรระวังในการทำโฮมสคูลมากกว่าค่ะ อย่างเช่น


1.มีเวลาส่วนตัวลดลง เหนื่อยมากขึ้น ข้อนี้จริงนะคะ ซึ่งเอาจริงๆเวลาส่วนตัวนั้นลดลงตั้งแต่เรามีบทบาทเป็นพ่อแม่แล้วค่ะ การทำโฮมสคูลทั้งพ่อแม่และลูกจะมีเวลาส่วนตัวของตัวเองน้อยลงแน่นอน เพราะต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น หากครอบครัวไหนมองเป็นข้อเสีย เรื่องนี้ก็แก้ไขได้ง่ายๆโดยจัดสรรเวลาค่ะ พ่อแม่อาจจะสลับเปลี่ยนกันเลี้ยงบ้าง ฝากญาติบ้าง หรือลองให้ลูกไปเรียนที่อื่นบ้าง เพื่อที่พ่อแม่จะได้มีเวลาส่วนตัวเอาไว้ทำธุระ หรือชารจ์พลังงานกันบ้างค่ะ แต่เอาเข้าจริงๆแล้วพอลูกเริ่มโต เค้าเริ่มรวมกลุ่มเรียนกับเพื่อนๆได้ ตอนนั้นเราก็มีเวลาส่วนตัวเหลือเฟือค่ะ ส่วนเรื่องเหนื่อย ต้องเหนื่อยกันคนละแบบอยู่แล้วค่ะ ระหว่างครอบครัวที่ส่งลูกไปโรงเรียนกับครอบครัวที่ทำโฮมสคูล จริงมั้ยคะ

2.ทำโฮมสคูลด้วยความกดดันจนไม่มีความสุข เพราะพ่อและแม่ไม่ได้มีความคิดไปในทางเดียวกัน แม่อยากทำโฮมสคูล แต่พ่อไม่เห็นด้วยอยู่ตลอดเวลา แบบนี้จะทำให้การทำโฮมสคูลเป็นการทำให้ครอบครัวเกิดการไม่ลงรอยกัน อาจสร้างความเครียดความกดดัน ข้อนี้ควรระวังให้มากที่สุดค่ะ ถ้าพ่อแม่คิดไม่เหมือนกัน ขัดแย้งกันตลอดเวลาไม่ว่าจะไปโรงเรียน หรือทำโฮมสคูล เด็กๆจะมีใจเรียนรู้อย่างมีความสุขได้ยังไง สิ่งสำคัญที่สุดคือทัศนคติของพ่อแม่ต้องไปในทิศทางเดียวกันค่ะ ส่วนเครือญาตินี่ถือเป็นเรื่องรองค่ะ ถ้าพ่อแม่หนักแน่นและรับมือไหวก็ไม่มีปัญหาค่ะ 

3.สอนเองไม่ได้ลูกไม่ฟังเลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เราคิดจะทำโฮมสคูลโดยที่คิดว่าจะไม่สอนอะไรลูกเองเลยยิ่งถ้าช่วงที่ลูกยังเล็กอยู่ อันนี้เราต้องประเมินตัวเองตั้งแต่แรกค่ะ เรามีการควบคุมอารมณ์ได้มากขนาดไหน เราเป็นคนประเภทขี้หงุดหงิดเวลาที่ต้องพูดต้องอธิบายซ้ำๆมั้ย ถ้าเราสอนลูกไปด่าไป ไม่เป็นผลดีกับลูกแน่นอน การที่ลูกไม่ฟังอาจจะเพราะช่วงวัยของลูก หรือวิธีการสอนของเรา ซึ่งเราอาจจะต้องเปลี่ยนรูปแบบการสอนมาเป็นการนั่งคุยกัน เล่นเกมส์ถามตอบ ปรับเทคนิคกันไป จนลูกโตพอที่จะค้นคว้าหาความรู้ด้วยเอง เราก็ปล่อยไปตามธรรมชาติของลูกค่ะ

4.มองไม่เห็นสัญญานที่ลูกส่งมา เราสังเกตุลูกได้มากน้อยแค่ไหน อะไรที่ต้องลด อะไรที่ต้องเพิ่มให้ลูก ลูกฉายแววฉายแสงอะไรออกมา เราประเมินมันได้มั้ย คือเราต้องพร้อมเรียนรู้ไปกับลูกตลอดเวลา และต้องรับรู้ไว ถ้าพ่อแม่ความรู้สึกช้า เผลอปล่อยเบลอไปนานๆ ลูกก็จะอาจจะเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย หรือแม้แต่ถ้าลูกของเรามีความสุขกับการไปโรงเรียนมากกว่าเราก็ต้องยอมรับ เพราะนี่คือการจัดการศึกษาให้ลูก สัญญานที่ส่งออกมาจากตัวตนของลูกจึงสำคัญที่สุดค่ะ

5.ทำโฮมสคูลแล้วลูกไม่เป็นดังที่หวัง ความคาดหวังของพ่อแม่อยู่ในระดับไหน ยอมรับตัวตนลูกได้มากขนาดไหน หรือเปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่นตลอดเวลา เช่นอายุเท่านี้ควรอ่านออกเขียนได้แล้ว อายุเท่านี้ควรรับผิดชอบเรื่องนี้ได้ ซึ่งบางทีอาจจะเป็นความใจร้อนของพ่อแม่เองที่หวังอยากให้ลูกล้ำหน้าเกินวัย ตั้งธงว่าลูกต้องประสบความสำเร็จ หรือค้นพบตัวตนเร็วเกินไป เมื่อลูกยังไม่พร้อมยังไม่เป็นดังที่หวัง ก็เริ่มรู้สึกว่าโฮมสคูลทำให้ลูกขาดทักษะความรู้ สุดท้ายก็แทรกแซงกระบวนการเรียนรู้ของลูก กดดันจนลูกไม่เป็นตัวของตัวเอง

6.ทำโฮมสคูลก็มีค่าใช้จ่ายเหมือนไปโรงเรียน แต่เราสามารถปรับค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับสภาพครอบครัวได้ มีมากก็จัดสรรให้ลูกได้มากตามความพอใจ มีน้อยก็สามารถประยุกต์ใช้ตามกำลัง อันนี้เป็นข้อดีของการทำโฮมคูลค่ะ แต่โฮมสคูลไม่ใช่ทางออก สำหรับพ่อแม่ที่อยากทำเพียงเพราะแค่อยากประหยัดจะค่าใช้จ่ายเพียงอย่างเดียวนะคะ เราอาจจะประหยัดค่าเทอมค่าเดินทาง ค่าบำรุงอะไรได้ก็จริง แต่ก็ไม่ควรจะประหยัดจนไม่จัดสรรโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้ตามสมควร และสิ่งที่ประหยัดไม่ได้เลยคือ เวลาคุณภาพที่ต้องมีให้ลูกค่ะ

7.อิสระมากจนไร้ทิศทาง การทำโฮมสคูล วินัยในตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราต้องระลึกรู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่ การไม่ได้ไปโรงเรียน ไม่มีใครมาเข้มงวดกับเรา เรายิ่งต้องใส่ใจกับการหาความรู้ด้วยตัวเอง โฮมสคูลคือรูปแบบเรียนรู้แบบอิสระอย่างมีวินัยและมีเป้าหมายค่ะ

8.ข้อเสียที่ไม่ได้เป็นข้อเสียอย่างที่เคยเข้าใจ มีอีกหลายข้อที่ถูกคาดการว่าเป็นข้อเสียของ home school ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการคาดการของคนที่ไม่ได้ทำโฮมสคูลด้วยตนเอง ยืนยันอีกครั้งค่ะ เรื่องสังคม เรื่องประสบการณ์การมีเพื่อนวัยเดียวกัน หรือเรื่องการมีประสบการณ์ในรั้วโรงเรียน ไม่ใช่ข้อเสียของ home school อีกต่อไปแล้วนะคะ เราสามารถทำโฮมสคูลด้วย+ไปโรงเรียนด้วยก็ได้ และการมีสังคมก็อยู่ที่แต่ละครอบครัวว่าจะสะดวกเปิดรับสังคมแค่ไหน เพราะจำนวนเด็กโฮมสคูลในปัจจุบันมีมากขึ้นเรื่อยๆค่ะ



สำหรับครอบครัวของเราเหตุผลที่ทำโฮมสคูลเพราะชั่งน้ำหนักดูแล้ว ว่าเหมาะกับครอบครัวเราที่สุด และคุ้มค่าที่จะทำค่ะ อาจจะพบปัญหาบ้าง แต่เราทั้งหมดก็พร้อมที่จะปรับตัวไปด้วยกันค่ะ

แต่ไม่ว่าจะพาลูกไปโรงเรียนหรือจะทำโฮมสคูลกับลูก ยังไงก็เป็นผลดีได้ทั้งนั้นค่ะ ถ้าครอบครัวเรามีแนวความคิดไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าพ่อแม่มีความสุขลูกๆก็มีความสุขค่ะ เมื่อเด็กๆมีใจที่พร้อมสำหรับการเรียนรู้ อยู่ที่ไหนก็สามารถค้นคว้าหาความรู้ได้ทั้งนั้นค่ะ  

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของครอบครัว ปัญหาอื่นๆที่เจอจากโลกภายนอก เราก็แค่กล้ายอมรับว่าเรามีปัญหา เปิดใจคุยกันในครอบครัวและจับมือช่วยกันค่อยๆแก้ไขทีละจุด ก้าวผ่านแต่ละปัญหาไปด้วยกัน เพราะยังไงความจริงก็คือทุกปัญหาต้องมีทางออกเสมอค่ะ



You Might Also Like

0 Comments

โพสต์ใหม่ล่าสุด

Sponsor Ad

โพสต์ยอดนิยม

Sponsor