TOP 5 คำถาม สนใจทำ Homeschool เริ่มยังไง

มกราคม 24, 2562



Homeschool เริ่มยังไง?



หลายครอบครัวที่เริ่มทำความเข้าใจว่า โฮมสคูล คืออะไร พอลองหาข้อมูลเพิ่มเติม ก็เริ่มรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นทางออกหนึ่งที่เหมาะสมกับสภาวะของครอบครัวเรา เราอยากจัดการศึกษาให้ลูกแบบโฮมสคูลบ้าง แต่ก็ยังลังเลไม่แน่ใจ เพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
เกิดคำถามขึ้นมาใหม่ในใจ ถ้าเราอยากทำ homeschool เราจะต้องเริ่มทำยังไง, อยากทำ home school ต้องขออนุญาตใคร หรือ เอ๊ะ มันต้องไปสมัคร home school ที่ไหนรึเปล่า

นี่เป็นเรื่องปกติมากๆค่ะ ทุกครอบครัวที่กำลังจะตัดสินใจว่าจะทำโฮมสคูล ล้วนเคยผ่านจุดนี้มาหมดแล้ว
ครอบครัวของเราก็เช่น ถึงได้เป็นที่มาของการรวบรวม TOP 5 คำถาม สำหรับใครที่สนใจ ว่าถ้าเราจะทำ Homeschool เราจะเริ่มยังไง



  1. การทำโฮมสคูล Homeschool เริ่มยังไง?

เริ่มจากการประชุมกันในครอบครัวก่อนเลยค่ะ ว่าใครเป็นคนอยากทำโฮมสคูล พ่อ แม่ หรือว่าลูก
ถ้าลูกยังเล็ก พ่อแม่อยากทำโฮมสคูลให้ลูกในช่วงปฐมวัย ก็ต้องมานั่งคุยกันว่าทั้งพ่อทั้งแม่มีความเห็นตรงกันมั้ย อันนี้สำคัญมากค่ะ มีหลายบ้านที่ทำโฮมสคูลไปแบบที่พ่อหรือแม่ต้องยืดหยัดต่อสู้ไปคนเดียว โดยคนที่เหลือในครอบครัวไม่เห็นด้วยเลย อันนี้ก็อาจจะไม่ค่อยดีนัก เพราะการทำโฮมสคูลจะต้องมีผู้ปกครองอย่างน้อย 1 คนที่ต้องคอยใช้เวลาอยู่ใกล้ชิดกับลูก การให้เวลาเป็นหัวใจหลักของการทำโฮมสคูล  ตรงนี้เราคนเดียวอาจจะเหนื่อยและโหลดเกินไป อาจจะทำให้บางครั้งเวลาเจอข้อสงสัยหรือพบปัญหา เกิดอาการเครียดหรือท้อ  หันไปทางไหนก็ไม่มีใครเข้าใจ แล้วก็ต้องล้มเลิกกลางคันไปอย่างน่าเสียดาย

ถ้าในครอบครัว ทั้งพ่อและแม่มีแนวความคิดตรงกันในการตัดสินใจเลือกทำโฮมสคูล แต่มีใครคนนึงต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวเป็นหลัก อันนี้เป็นเรื่องปกติมากๆ มีผู้ปกครองคนเดียวที่สะดวกให้เวลากับลูกก็สามารถทำโฮมสคูลได้แน่นอนค่ะ

ถ้าในครอบครัวที่ลูกโตแล้ว และลูกมีสาเหตุทำให้ครอบครัวอยากทำโฮมสคูล อันนี้ถ้าประชุมในครอบครัวแล้ว ต้องการลาออกจากโรงเรียนเพื่อทำโฮมสคูล ก็เริ่มเลยลงมือได้เลย เพราะถ้าเราตัดสินใจเริ่มแล้ว ทุกความกังวลเกี่ยวกับการทำโฮมสคูลของเรา จะนำพาให้เราค้นหาคำตอบด้วยตัวเองทุกข้อทุกคำตอบ ทุกอย่างมันมีหนทางของมัน อยู่ที่สมาชิกในครอบครัวเราพร้อมเรียนรู้ไปด้วยกันมั้ย


2. เรื่องหลักสูตรล่ะ หลักสูตร Homeschool มีมั้ย?


เรื่องหลักสูตร homeschool นั้นมีเยอะแยะมากมาย พูด 3 วันไม่จบค่ะ เอาเป็นว่าหลักสูตรสำหรับใช้ในการเรียนแบบโฮมสคูลนั้นไม่มีกำหนดตายตัว จะมีหรือไม่มีก็ยังได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละครอบครัวจะเลือก มีข้อมูลให้ศึกษาเยอะแยะมากมาย คือถ้าเราไปโรงเรียนไหนเราก็ต้องใช้หลักสูตรนั้นเรียน แต่ถ้าทำโฮมสคูลเราก็สามารถเลือกหลักสูตรของตัวเอง จะเอาแบบที่สนใจ เอาหลักสูตรของคนอื่นมาประยุกต์ หรือซื้อหลักสูตร homeschool ต่างประเทศมาเรียนกันก็ยังได้ค่ะ
อยากเรียนอะไรก็เรียนแบบนั้น สำคัญอย่างเดียวคือการเรียนอย่างต่อเนื่อง มีทิศทาง มีเป้าหมาย การเรียนที่ดีนั้นต้องใช้เวลามากพอที่จะตกผลึกเกิดการเรียนรู้ และจะต้องมีการทำซ้ำฝึกฝนให้เชียวชาญ และยิ่งไม่มีใครมาบังคับว่าเราต้องเรียนอะไร ควรเรียนเมื่อไหร่ เราจะต้องยิ่งซื่อสัตย์กับตัวเอง และมีวินัยในตัวเองมากขึ้นนะคะ


1      3. ค่าใช้จ่าย ในการทำ Home school


อันนี้ตอบได้เลยค่ะ ว่าขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละครอบครัว ต้นทุนของครอบครัวโฮมสคูลแต่ละครอบครัวก็ไม่เท่ากันเหมือนกับครอบครัวอื่นในสังคมเลยค่ะ แต่ที่เราเหมือนกันคือ พวกเราที่ทำ Home school ค่าใช้จ่ายที่ไม่ต้องเสียแน่ๆก็คือค่าเทอม ค่าแปะเจียะ ค่าบำรุงอาคารสถานที่ ค่าชุดนักเรียน  แต่ส่วนที่พวกเราต้องลงทุนเพิ่มเติมก็แล้วแต่ว่าครอบครัวเราให้ความสำคัญกับอะไร 

ขอยกตัวอย่างนะคะ
บางบ้านเรียนที่เค้าทำธุรกิจระหว่างประเทศ เดินทางไปทั่วโลก เค้าก็จัดทริปการเรียนรู้ให้ลูกไปพร้อมๆกับการเดินทางไปทำงานด้วย บ้านเค้าประชุมกันมาแล้ว ลูกเค้าจะรับช่วงต่อธุรกิจครอบครัว การพาลูกไปดูงาน การเรียนรู้แบบสถาการณ์จริง ให้ลูกได้เจอลูกค้าจริง เจอปัญหาจริงๆ เมื่อพบปัญหา สงสัยหรือติดขัดอะไร ก็หาข้อมูลเพื่อเรียนเพิ่มเติมตรงส่วนนั้น ไม่ต้องเสียเวลาเรียนวิชาที่ไม่จำเป็น

หรือบ้านที่ลูกมีความถนัดในงานศิลปะ เค้าก็จะลงทุนพวกสี เครื่องมือ อุปกรณ์มากหน่อย บางบ้านลูกเค้าถนัดกีฬาก็จะมีค่าใช้จ่ายหลักๆเป็นค่าอุปกรณ์และบางทีอาจมีค่าจ้างโค้ชมาฝึกสอน ประมาณนี้ค่ะ บางบ้านลูกสนใจทำอาหารเค้าก็จะไปบริหารงบเน้นไปทางนั้นมากหน่อย

สรุปเมื่อเราทำ Home school ค่าใช้จ่ายที่มีคือเมื่อลูกชอบเรียนอะไร เราก็จะไปลงทุนตรงนั้นมากหน่อย ความจริงแล้วพอเราทำโฮมสคูลไปได้สักระยะ เราจะเริ่มรู้ทิศทาง เราจะสามารถเริ่มปรับตัวเองเพิ่มงบตรงนั้น ประหยัดงบตรงนี้ ถัวๆกันไปค่ะ
อย่างครอบครัวของเรา ลูกชายคนโตชอบการเรียนแบบมอนเตสซอรี่ ชอบต่อเลโก้ ชอบเล่นบอร์ดเกมส์ ก็จะต้องเตรียมงบสำหรับกิจกรรมเหล่านี้ ส่วนทางด้านศิลปะ ดนตรี ลูกยังไม่ค่อยสนใจ ค่าใช้จ่ายตรงนี้จะยังไม่มีค่ะ แต่ลูกชายคนเล็กก็ไม่แน่ พ่อแม่ต้องคอยสังเกตุและจัดสรรให้ลูกต่อไปค่ะ


อีกอย่างหนึ่งคือครอบครัวของเราเลี้ยงลูกแบบ 2 ภาษา และเราสอนภาษาอังกฤษลูกด้วยตัวเอง ทำให้ประหยัดค่าคอร์สเรียนภาษาอังกฤษไปได้อีกเยอะทีเดียวค่ะ และที่สำคัญ ถ้าเราทำโฮมสคูลโดยการจดทะเบียนกับเขตการศึกษา เราจะได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลอีกด้วยนะคะ 


         4. ต้องทำ Home School ไปถึงเมื่อไหร่



ในส่วนนี้ก็ต้องแล้วครอบครัว แล้วแต่ตัวเด็กเลยค่ะ  ส่วนใหญ่ตอนนี้ พ่อแม่ที่ทำโฮมสคูลจะทดลองทำจนลูกถึง  6  ขวบแล้วก็เข้าเรียนชั้นป.1  และก็มีอีกหลายครอบครัวที่ตั้งใจทำโฮมสคูลจนถึง ป.6 หรือไปจนจบม.ปลาย แล้วก็สอบเข้าเรียนมหาลัย มีทุกระดับชั้นค่ะ แล้วแต่การวางแผนของครอบครัวร่วมกับตัวเด็กเอง ยิ่งสมัยนี้หลายๆมหาวิทยาลัยในประเทศเรา เปิดรับสมัครนักศึกษาแบบส่งพอร์ตฟอลิโอ หรือแฟ้มสะสมผลงาน เรามีความสามารถทำโฮมสคูลไปจนเท่าที่เราพอใจได้ค่ะ 

1      5. ถ้าไม่ได้ไปโรงเรียนเลย แล้วจะเรียนทันคนอื่นเหรอ?


คำถามนี้ต้องขอตอบว่าแล้วแต่วิธีคิดของแต่ละบ้าน แล้วแต่ค่านิยมของแต่ละครอบครัวเช่นกันค่ะ เราหวังอยากให้ลูกทันใคร และทันเรื่องอะไร ในส่วนนี้ไม่มีผิดถูกค่ะ
คนเราทุกคนมีความสนใจไม่เหมือนกัน มีความถนัดคนละด้านกัน ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วแต่ละคนก็ไม่ทันกันในแต่ละเรื่องอยู่แล้วนะคะ

เด็กโฮมสคูลบางคนสะสมความสามารถของเค้าในแฟ้มสะสมผลงานอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เค้าอาจจะพร้อมใช้ทักษะนั้นทำงานได้ตั้งแต่อายุ 16-17 หรือเร็วว่านั้น แบบนี้ก็คือถือว่าทันในเรื่องทักษะการทำงานใช่มั้ยคะ


ขอยกตัวอย่างบ้านเรียนที่รู้จักคนหนึ่งนะคะ น้องเค้าอายุ 10 ขวบ มีความถนัดทางด้านศิลปะอย่างโดดเด่น น้องมีผลงานด้านศิลปะมาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ตอนนี้น้องขายผลงานของน้องไปได้มากมายแล้ว ยังไม่นับผลงานที่ถูกประมูลไปแสดงในสถานที่ต่างๆทั่วโลก น้องเป็นศิลปินเต็มตัวในวัยเพียงแค่ 10 ขวบ น้องอาจจะท่องสูตรคูณหรือวิเคราะห์ผลการทดลองไม่ทันเด็กวัยเดียวกัน แต่รับรองว่าพ่อแม่ของน้องไม่กังวลเรื่องเหล่านี้แน่นอนค่ะ

หรือถ้าเป็นห่วงในวิชาการ ขอยกตัวอย่างบ้านเรียนที่รู้จักคนหนึ่งนะคะ
น้องอายุ 7 ขวบ เป็นเด็ก 2 ภาษาที่คุณแม่จัดการศึกษาให้เป็นหลัก น้องมีความถนัดทางด้านภาษาอังกฤษ
คุณแม่น้องลองทดสอบวัดระดับความรู้ของน้อง โดยใช้ข้อสอบที่จาก Test Prep book American Curriculum และ GED Test ซึ่งผลออกมาดังนี้ค่ะ

การอ่าน  อยู่ในระดับ เกรด 5 (ป.5)

การเขียน อยู่ในระดับ เกรด 3 (ป.3)

คณิตศาสตร์ อยู่ในระดับ เกรด 4 (ป.4)

ภาษาไทย อยู่ในระดับ อนุบาล 2

ซึ่งจะเห็นได้ชัดนะคะ ว่าน้องคนนี้ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ทันใครในเรื่องภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์เลย เพราะล้ำหน้าเกณฑ์อายุไปหลายปีแล้ว เหลือในส่วนภาษาไทยที่ยังไม่ทันตามเกณฑ์อายุ ซึ่งความจริงแล้วเป็นเพราะน้องยังไม่ได้เน้นการเรียนภาษาไทยเท่านั้นเองค่ะ

นี่เป็นการวัดผลตามความสามารถของลูกเรา ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติมากๆ ที่เด็กคนหนึ่งจะมีทักษะบางวิชาที่สูงมาก และบางวิชาที่ลดหลั่นลงไปตามความสนใจของเด็ก ซึ่งโดยปกติครอบครัวที่ทำโฮมสคูลจะใช้โอกาสนี้ส่งเสริมความถนัดของลูก ให้เวลากับการพัฒนาทักษะที่ลูกทำได้ดี ให้ต่อยอดไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องรอเรียนตามเกณฑ์เหมือนในระบบโรงเรียนค่ะ


เราอาจจะใช้การวัดผลเป็นเครื่องมือช่วยค้นหาทิศทางให้กับลูกได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การยอมรับตัวตนของลูกค่ะ หมั่นสังเกตุลูกเราชอบทำอะไร เค้ามีความถนัดอะไร เราก็ส่งเสริมให้เค้าค้นพบความสามารถของตนเอง และให้เค้ามีเวลาอยู่กับมันมากพอที่จะพัฒนาตัวเองไปยังเป้าหมายที่เค้าตั้งใจค่ะ


มีคำถามเพิ่มเติมหรืออยากได้คำตอบเรื่องไหน
ทักทายหรือแนะนำมาได้นะคะ
ถ้าเรื่องไหนผ่านมาแล้ว มีข้อมูลอยู่บ้าง ก็ยินดีจะแชร์ให้กับทุกคนค่ะ


You Might Also Like

0 Comments

โพสต์ใหม่ล่าสุด

Sponsor Ad

โพสต์ยอดนิยม

Sponsor